วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คำคมนักวิทยาศาสตร์



No amount of experimentation can ever prove me right,
A single experiment can prove me wrong.
Albert Einstein
การทดลอง ไม่ว่าจะมากเพียงใดก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ข้าพเจ้าถูก
การทดลอง เพียงการทดลองเดียวสามารถพิสูจน์ได้ว่า ข้าพเจ้าผิด
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

If A equal success, Then the formula A = X + Y + Z
X is work. Y is play. Z is keep your mouth shut.
Albert Einstein
ถ้า A เท่ากับความสำเร็จแล้ว สูตร A = X + Y + Z
X คือ งาน Y คือ เล่น Z คือ ปิดปาก
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

Politics are for the moment An equation is for eternity.
Albert Einstein
การเมืองอยู่เพียงชั่วขณะ สมการอยู่ชั่วนิรันดร
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์



                                                Self-conquest is the freatest of victory.


Plato
การชนะใจตนเองเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
พลาโต




Probable impossibilities are to be preferred to improbable possibilities.
Aristotle
ความเป็นไปไม่ได้ที่อาจเป็นไปได้น่าใส่ใจกว่าความเป็นไปได้ที่ไม่น่าเป็นไปได้
อริสโตเติล


It seems only reasonable that Our enormous cosmos must be Populated with other creatures, Some of them more advanced than We are.
Arthur C. Clarke
มันดูสมเหตุสมผลอย่างยิ่งว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ของเรา จะต้องมีสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นอาศัยอยู่ด้วยซึ่งบางอย่าง จะต้องก้าวหน้ากว่ามนุษย์เราเสียอีก
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก

It may be that The old astrologers had the truth Exactly reversed When they believed that The stars controlled the destinies of men. The time may come when men control the destinies of the star.
Arthur C. Clarke
อาจเป็นได้ว่านักโหราศาสตร์โบราณเชื่อในสิ่งตรงข้ามกับความจริง ความเชื่อว่าดวงดาวควบคุมวิถีมนุษย์ เวลาอาจมาถึงเมื่อมนุษย์ควบคุมวิถีชีวิตดวงดาว
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก

If you've never seen a UFO, You're not very observant.
And if you've seen as many as I have. You won't believe in them.
Arthur C. Clarke
ถ้าคุณไม่เคยเห็น ยูเอฟโอ คุณไม่ใช่คนช่างสังเกต
และถ้าคุณได้เห็นมากเท่าที่ผมเห็น คุณก็จะไม่เชื่อ
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก






Philosophy is written In that great book which ever lies before our gaze
--I mean the universe-- But we cannot understand If we do not first lean the language and grasp the symbols in which it is written
Galileo Galilei
ปรัชญาเขียนอยู่ในหนังสือเล่มที่ยิ่งใหญ่ซึ้งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา
--ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล--ทว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจ
ถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้เขียน
กาลิเลโอ กาลิเลอิ


Except our own thought, there is nothing absolutely in our power.
Rene Descartes
ยกเว้นความคิดของเราเอง ไม่มีอะไรอยู่ในอำนาจของเราอย่างแท้จริง
เรอเน เดส์การ์ตส์

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หลักการดูดาวเบื้องต้น

วิธีดูดาวเบื้องต้น
หลักการดูดาวเบื้องต้น       1. ดูในคืนข้างแรม หรือคืนเดือนมืด
      2. ปราศจากแสงภาคพื้นรบรวนเช่นแสงไฟฟ้า ต่าง ๆ
      3. ปราศจากเมฆหมอกบดบัง
      4. ดูในที่โล่งแจ้ง ปราศจากสิ่งบดบังสายตาภาคพื้นดิน เช่นต้นไม้ อาคารบ้านเรือน
      5. มองหาความแตกต่าง ของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์

ดาวเคราะห์
      1. ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ปรากฏเห็นได้เพราะอาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์
      2. เคลื่อนที่อยู่ในแถบกลุ่มดาวจักรราศีเมื่อเที่ยบกับดาวดวงอื่น
      3. ตำแหน่งขึ้น - ลง ในแต่ละวันไม่คงที่
      4. ความสว่าง ไม่คงที่ เพราะระยะทางระหว่างโลกและดาวเคราะห์ เปลี่ยนตำแหน่ง อยู่ตลอดเวลา

ดาวฤกษ์
      1. มีแสงสว่างในตัวเอง
      2. มีแสงระยิบระยับ
      3. อยู่เป็นกลุ่มไม่เคลื่อนที่ เรียงกันอยู่อย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ดาวแต่ละดวงในกลุ่มจะปรากฏสว่างต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง
      4. ตำแหน่งขึ้น - ลง และแนวทางการขึ้น - ตกไม่เปลี่ยนแปลง
      5. ความสว่างคงที่


การขึ้น - ตกของดวงดาว

      ประเทศไทย ตั้งอยู่ในซีกโลก ภาคเหนือ ประมาณระหว่าง ละติจุดที่ 6 ถึง 20 องศาเหนือ จึงสามารถ มองเห็น กลุ่มดาว ในซีกโลกเหนือ ทั้งหมด และกลุ่มดาวซีกโลกใต้ เห็นเป็นส่วนใหญ่ มีไม่กี่กลุ่มที่ สามารถ มองเห็นได้ เราสามารถ ศึกษา และสังเกตุการณ์ เกี่ยวกับการขึ้น และตกของดวงดาว ได้ตั้งแต่ แสงสนธยา ได้หายไป จากของฟ้า หลังจาก ดาวอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไปแล้ว 18 องศา หรือประมาณ 50 นาที จนระทั่งแสงเงินแสงทอง เริ่มจับขอบฟ้า ทางทิศตะวันออก ดาวเคราะห์ เพื่อนบ้านของเราเช่น ดาวพุธ และดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์วงใน มีวงโคจรน้อยกว่า โลกของเรา ดาวพุธจะเห็นทางทิศตะวันออก ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือทางทิศตะวันตก หลังจาก ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ห่างจากดวงอาทิตย์ ไม่เกิน 28 องศา และจะเห็นได้นานประมาณ 1 ชั่งโมงครึ่ง ดาวศุกร์ จะเห็น ปรากฏก่อนดวงอาทิตย์ ขึ้นทางทิศตะวันออก คนไทยเรียก ดาวรุ่งหรือ ดาวประกายพฤกษ์ ถ้าเห็นห่างจาก ดวงอาทิตย์ไม่เกิน 47 องศา เห็นนานประมาณ 3 ชั่วโมง
หลักการดูดาวเบื้องต้น       1. ดูในคืนข้างแรม หรือคืนเดือนมืด
      2. ปราศจากแสงภาคพื้นรบรวนเช่นแสงไฟฟ้า ต่าง ๆ
      3. ปราศจากเมฆหมอกบดบัง
      4. ดูในที่โล่งแจ้ง ปราศจากสิ่งบดบังสายตาภาคพื้นดิน เช่นต้นไม้ อาคารบ้านเรือน
      5. มองหาความแตกต่าง ของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์

ดาวเคราะห์
      1. ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ปรากฏเห็นได้เพราะอาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์
      2. เคลื่อนที่อยู่ในแถบกลุ่มดาวจักรราศีเมื่อเที่ยบกับดาวดวงอื่น
      3. ตำแหน่งขึ้น - ลง ในแต่ละวันไม่คงที่
      4. ความสว่าง ไม่คงที่ เพราะระยะทางระหว่างโลกและดาวเคราะห์ เปลี่ยนตำแหน่ง อยู่ตลอดเวลา

ดาวฤกษ์
      1. มีแสงสว่างในตัวเอง
      2. มีแสงระยิบระยับ
      3. อยู่เป็นกลุ่มไม่เคลื่อนที่ เรียงกันอยู่อย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ดาวแต่ละดวงในกลุ่มจะปรากฏสว่างต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง
      4. ตำแหน่งขึ้น - ลง และแนวทางการขึ้น - ตกไม่เปลี่ยนแปลง
      5. ความสว่างคงที่


การขึ้น - ตกของดวงดาว

      ประเทศไทย ตั้งอยู่ในซีกโลก ภาคเหนือ ประมาณระหว่าง ละติจุดที่ 6 ถึง 20 องศาเหนือ จึงสามารถ มองเห็น กลุ่มดาว ในซีกโลกเหนือ ทั้งหมด และกลุ่มดาวซีกโลกใต้ เห็นเป็นส่วนใหญ่ มีไม่กี่กลุ่มที่ สามารถ มองเห็นได้ เราสามารถ ศึกษา และสังเกตุการณ์ เกี่ยวกับการขึ้น และตกของดวงดาว ได้ตั้งแต่ แสงสนธยา ได้หายไป จากของฟ้า หลังจาก ดาวอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไปแล้ว 18 องศา หรือประมาณ 50 นาที จนระทั่งแสงเงินแสงทอง เริ่มจับขอบฟ้า ทางทิศตะวันออก ดาวเคราะห์ เพื่อนบ้านของเราเช่น ดาวพุธ และดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์วงใน มีวงโคจรน้อยกว่า โลกของเรา ดาวพุธจะเห็นทางทิศตะวันออก ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือทางทิศตะวันตก หลังจาก ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ห่างจากดวงอาทิตย์ ไม่เกิน 28 องศา และจะเห็นได้นานประมาณ 1 ชั่งโมงครึ่ง ดาวศุกร์ จะเห็น ปรากฏก่อนดวงอาทิตย์ ขึ้นทางทิศตะวันออก คนไทยเรียก ดาวรุ่งหรือ ดาวประกายพฤกษ์ ถ้าเห็นห่างจาก ดวงอาทิตย์ไม่เกิน 47 องศา เห็นนานประมาณ 3 ชั่วโมง
วิธีการเริ่มต้นสำหรับผู้สนใจดาราศาสตร์
         การดูดาวถือเป็นงานอดิเรกอีกชนิดหนึ่งที่ให้ทั้งความเพลินเพลิน ให้ความรู้เกี่ยวกับ ดวงดาวและเอกภพได้เป็นอย่างดี การสังเกตท้องฟ้ายามค่ำที่เต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับนับหมื่นนับล้านดวง สร้างความสุขใจได้ดีพอสมควร หากเราสังเกตด้วยสายตาผาดๆ ก็คงสัมผัสกับบรรยากาศที่น่าตื่นตาของมันได้เพียงอย่างเดียว แต่หากเราศึกษาให้ลึกลงไปกว่านั้นรู้จักถึงกลุ่มดาวต่างๆ ดาวแต่ละดวงที่กำลังทอแสงแข่งกันได้ก็คงเป็นการดี ช่วยเพิ่มอรรถรสและบรรยากาศในการชื่นชมท้องฟ้ายามค่ำได้ดีขึ้นกว่าเก่าอีก มากทีเดียว 
             การที่เราจะเริ่มต้น หัดดูดวงดาวนั้นจะว่าเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ต้องมีความรู้พื้นฐานเลยก็ไม่ถูก ต้องนักหรือจะจัดให้เป็นเรื่องยากชนิดที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการศึกษาค้น คว้าอย่างยากเย็นก็ไม่เชิงซะทีเดียว  การเรียนรู้เกี่ยวกับหมู่ดาวของกิจกรรมชนิดนี้อาจจะต้องอาศัยความเข้าอกเข้า ใจและสร้างความคุ้นเคยให้กับท้องฟ้าอยู่บ้างเหมือนกัน ผู้ที่สนใจเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ จึงจำต้องมีความรู้เกี่ยวกับท้องฟ้าและดวงดาวอยู่บ้างตามสมควร
               หมู่ดวงดาวที่เราเห็นส่องแสงเป็นประกายอยู่ในยามค่ำนั้น นักดาราศาสตร์จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มดาวฤกษ์  ในสมัยอดีตที่วิชาดาราศาสตร์เริ่มเป็นที่สนใจของมนุษย์ตามหลักวิชาการพยายาม ทำความเข้าใจด้วยการศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ ปโตเลมี นักดาราศาสตร์ชาวกรีกผู้ซึ่งสนอกสนใจในการเคลื่อนไหวของหมู่ดาวได้จัดแบ่ง กลุ่มดาวฤกษ์ที่เขาสังเกตเห็นออกเป็น  48 กลุ่มดาว  ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้รวมเอากลุ่มดาวในซีกโลกใต้ที่นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ยังไม่สามรถสังเกตเห็นได้  ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 องค์การดาราศาสตร์สากล ( Internation Astronomical   Union หรือ IAU) ได้แบ่งกลุ่มดาวออกเป็น 88 กลุ่ม ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ในดาว ทั้ง 88 กลุ่มนี้ยังถูกจัดแบ่งออกไปตามกลุ่มดาวทางซีกฟ้าทางใต้และซีกฟ้าทางเหนือตาม ตำแหน่งที่ปรากฏ               สำหรับประเทศไทย สามารถมองเห็นกลุ่มดาวต่างๆที่ทาง องค์การดาราศาสตร์สากล จัดแบ่งไว้ทั้งหมด 88 กลุ่มได้ราว  74 กลุ่มเท่านั้น ยังมีกลุ่มดาวอีกราว 14 กลุ่มที่ตกสำรวจไปจากสายตาผู้สังเกตในประเทศไทย ในความเป็นจริงแล้วสำหรับการเริ่มตันศึกษานั้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษา ให้รู้จักดวงดาวทั้ง 88 กลุ่มนั้นมีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เป็นที่นิยมศึกษาของผู้เริ่มต้นทาง ด้านดาราศาสตร์  ทั้งยังต้องเรียนรู้ดาวที่สำคัญๆ ในเบื้องต้นหรือเส้นสมมติต่างๆที่ใช้ในทางดาราศาสตร์
A คือ ที่ขั้วโลกเหนือ
B คือ ละติจูดที่ 45 เหนือ
C คือ ที่เส้นศูนย์สูตรโลก
เมื่อยืนที่ขั้วโลกหรือตำแหน่ง A
จะเห็นเส้นศูนย์สูตรฟ้าอยู่ที่ขอบฟ้า
คนที่อยู่ที่ละติจูด 45° เหนือ คือ ที่ตำแหน่ง B
จะเห็นเส้นศูนย์สูตรฟ้าพาดจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกโดยผ่านเมริเดียนไปทาง
ทิศ้ของจุดเหนือศีรษะเป็นมุม 45° หรือเส้นศูนย์สูตรฟ้าเอียงกับขอบฟ้าไปทางใต้เป็นมุม 45°
คนที่อยู่ที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรโลกหรือ ตำแหน่ง C
จะเห็นเส้นศูนย์สูตรฟ้าพาดจากจุดทิศตะวันออกผ่านจุดเหนือศีรษะไปยังจุดทิศตะวันตก


แผนที่ดาว

          อุปกรณ์ที่จำเป็นอีกอย่าง หนึ่งในการเริ่มต้นศึกษาดาราศวาสตร์คือแผนที่ดาว แผนที่ชนิดนี้จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางที่ทำให้เราสามารถเรียน รู้และเข้าใจเกี่ยวกับหมู่ดาวต่างๆได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยการสอบเทียบกับแผ่นที่ดาวดังกล่าว โดยสามารถเลื่อนแผ่นที่เพื่อสังเกตดวงดาวได้ตามวันเวลาที่มีปรากฏอยู่บนแผ่น ที่ แผ่นที่ดาวมีวางขายที่ท้องฟ้าจำลองซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นกระดาษที่แสดงให้ เห็นกลุ่มดาวต่างๆ และแม้กระทั่งในปัจจุบันยังมีบริการให้ดาวน์โหลดแผ่นที่ดาวเพื่อใช้ในการ ศึกษาของเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ของต่างประเทศอยู่บ้างเหมือนกันส่วน ใครจะใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความถนัด


                  แผ่นที่ดาวถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาทาง ด้านดาราศาสตร์เพราะมันจะทำหน้าที่นำทางเราให้เข้าอกเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ ดวงดาวและท้องฟ้า ในขั้นแรกของการศึกษาแน่นอนว่าเราต้องเทียบดวงดาวที่ปรากฏด้วยตากับดวงดาว ดังกล่าวที่ปรากฏอยู่บนแผ่นที่ดาว เพื่อหาตำแหน่งที่แน่นอนและสามารถสังเกตเห็นดาวดวงต่อๆไปได้อย่างไม่ติดขัด สับสน
การวัดมุมดวงดาว


          การวัดมุมดาวเป็นวิธีการหนึ่งที่ไม่ ต้องอาศัยอุปกรณ์เพิ่มเติมนักดาราศาสตร์สามารถวัดได้ด้วยอาศัยฝ่ามือตนเอง ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เราสามารถสังเกตเห็นดาว ได้ดียิ่งขึ้นและรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมันโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อย่าง อื่นมาช่วยเลยเพียงแต่การอาศัยการสังเกตและความรอบคอบในการวัดระยะมุมเท่า นั้นเอง

1 กำปั้น = 10 องศา

ปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วก้อย = 22 องศา
ปลายนิ้วชี้ถึงปลายนิ้วก้อย = 15 องศา
ความหนาของนิ้วชี้ = 2 องศา
ความหนาของนิ้วชี้กับนิ้วกลาง = 4 องศา
ความหนาของนิ้วชี้กับนิ้วกลางและนิ้วนาง = 5 องศา
ความหนาของนิ้วก้อย = 1 องศา

กล้องดูดาว

          กล้อง ดูดาวถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่จำเป็นในการศึกษาทางดาราศาสตร์ แต่ในระยะแรกนั้นกล้องดูดาวที่มีราคาสูง ก็อาจจะยังไม่จำเป็นเท่ากับการที่เราจะทำความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับดวง ดาว

          การใช้กล้องโทรทัศน์ในการสังเกตดวงดาวในระยะแรกของ การเริ่มต้นเรียนรู้การดูดาวนั้น อาจจะสร้างความปัญหาให้กับผู้เริ่มต้นได้มากพอสมควรเนื่องจากยังไม่ชำนาญใน การใช้กล้อง  และออกจะดูเป็นการข้ามขั้นตอนอยู่สักหน่อย  เพราะการที่ดาวเปลี่ยนตำแหน่งในการสังเกตอยู่ตลอดเวลาบวกกับความที่ยังไม่ ชำนาญในตำแหน่งดาว การใช้กล้องดี ๆพร้อมกับความคาดหวังที่เต็มเปี่ยม ว่าจะต้องเห็นความลับของจักรวาลอย่างถนัดถนี่ก็อาจสร้างความผิดหวังให้กับ มือใหม่ได้มากทีเดียว

          แต่หากทุนทรัพย์พร้อมแล้วก็ย่อมจะไม่มีปัญหา ในเรื่องอุปกรณ์ที่จะอำนวยความสะดวกให้เราแต่กระนั้นก็ควรจะมีพื้นบานเกี่ยว กับดวงดาวอยู่บ้าง กล้องที่เหมาะสมในระยะแรกของการศึกษาทางดาราสาสตร์นั้นผู้นิยมเวหายามค่ำ มักแนะนำให้มือใหม่ใช้กล้องสองตาก่อนเพื่อทำความคุ้นเคยกับท้องฟ้าก่อนที่จะ ขยับไปใช้กล้องที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

          การดูดาวนับเป็นงาน อดิเรกทีน่าพิสมัยมากอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถให้ทั้งความรู้และความบันเทิงไป พร้อมๆกัน วิชาดาราสาสตร์หรือการสังเกตการเคลื่อนตัวของดวงดาวนั้นช่วยสร้างศาสตร์อื่น ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาการเดินเรือที่ต้องอาศัยดาวเป็นหลักในการนำทาง  โหราศาสตร์เองก็อาศัยการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้ายามค่ำในการทำนายทายทักตาม หลักสถิติ  ทั้งการดูดาวยังสร้างเทคโนโลยีให้กับมนุษย์ตามมาอีกมากมายเหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาทางดาราศาสตร์ยังสร้างแรงขับดันจากภายในให้มนุษย์พยายามทำความเข้า ใจกับมันมากยิ่งขึ้น และให้เราได้ ก้าวข้าม ขอบโลกออกไปเผชิญหน้ากับท้องฟ้าอันกว้างไพศาลภายนอกโลกสีน้ำเงินใบนี้อย่าง เต็มไปด้วยความสงสัย






 



วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ว่าน123SOUL




อคิร (ชื่อเดิม: ยศนันท์) วงษ์เซ็ง (ชื่อเล่น ว่านไฉ) เกิด 27 กันยายน พ.ศ. 2532 ภายใต้ชื่อนักล่าฝันในรายการทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ฤดูกาลที่ 5 มีรหัสประจำตัวคือ V 15 ปัจจุบัน มีผลงานคืออัลบั้ม 123 Soul และ Produce เพลง เรื่องน่าอาย ให้กับ กรีน AF7 และแต่งเพลง ลืมร้องไห้ ให้กับ มีน AF7

ประวัติ
สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี กรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจาก วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเคยเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในระดับปริญญาตรี ปัจจุบันลาออกมาศึกษาที่ วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต เนื่องจากได้ถอนวิชาใว้หลายวิชาในช่วงประกวดเอเอฟ และรวมไปถึงอาจารย์จากดุริงยางคศิลป์ย้ายมาที่ วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นส่วนมาก รหัสนักศึกษาในมหาวิทยาลัยรังสิตคือ 5300001

ว่าน อคิร(ยศนันท์) วงษ์เซ็ง ได้เป็นโปรดิวเซอร์ที่คอยแต่งเพลง ให้แก่ศิลปินในค่าย ทรู ออกอัลบั้มกลุ่มครั้งแรกที่มีชื่อว่า "123Soul" โดยมีเพลงสักครั้ง โดยเพลงได้เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง จำเลยกามเทพ ทางช่อง 3 และได้ทำสปอร์ทต่างๆ เช่น Spot Concert The Wenner และ The Young Bachelor และเป็น โดย ว่าน อคิร มีความฝันว่าในอนาคต อยากจะทำงานเบื้องหลังอีกด้วยแฟนเทเชีย

"ว่าน อคิร(ยศนันท์) วงษ์เซ็ง" 1 ใน 12 นักล่าฝันจากเวที Academy Fantasia Season 5 ถึงแม้ผลงานบนเวทีจะไม่ได้ดีเยี่ยมสักเท่าไหร่นักแต่ก็ถือว่าโดดเด่นไม่ใช่น้อย พอว่านออกจากบ้านมาก็ได้มาทำอัลบั้มร่วมกับเพื่อน ๆ AF5 มีเพลงแรกในชีวิตคือ เพลงความหมายปลายทาง และหลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนๆ จากเวทีเดียวกันมีผลงานเป็นของตัวเองแล้ว ก็ถึงคราวนายว่านได้ร่วมกับเพื่อนใน Season เดียวกัน
ผลงานในการแต่งเพลง
พ.ศ. 2552  
เพลง "คู่รักชักศอก"   เพลงประกอบละครซิทคอม "คู่รักชักศอก" (คำร้อง-ทำนอง) ออกอากาศทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 21.30 - 22.00 น. ช่อง True Hayha D23
พ.ศ. 2553
เพลง "เผื่อลืม"   เพลงประกอบละคร "365 แห่งรัก" (คำร้อง-ทำนอง)
เพลง "คืนสำคัญคนสำคัญ"   อัลบั้ม The Young Bachelor
เพลง "เรื่องน่าอาย"   อัลบั้ม True AF7 Showcase (คำร้อง-ทำนอง-เรียบเรียงร่วมกับณัฐพร ธรรมาธิ)
เพลง "ลืมร้องไห้"   อัลบั้ม True AF7 Showcase (คำร้อง-ทำนอง
พ.ศ. 2554
เพลง "รู้สึกช้า"   เพลงประกอบละคร "เมียแต่ง" (คำร้อง-ทำนอง)
เพลง "ผู้ชายนิสัยไม่ดี"   เพลงประกอบละคร "เมียแต่ง" (คำร้อง-ทำนอง)
เพลง "ร้องให้รู้ตัวเอง"   แต่งคำร้อง-ทำนอง   พัดชา af2
เพลง "พักพิง"   แต่งทำนอง   ศิลปิน ว่าน ธนกฤต
เพลง "เหมือนกัน"   แต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม (คำร้อง-ทำนอง-เรียบเรียง)   ศิลปิน123soul
พ.ศ. 2555
เพลง "อ๊ะ"   ศิลปิน 123soul
เพลง "บางที"   เนื้อร้อง/ทำนอง/Produce By ว่านไฉ เรียบเรียง ณัฐพร ธรรมาธิ ศิลปิน ลูกโป่ง af4
เพลง"ประโยคคำถาม"  ศิลปิน โจ้ af2
เพลง "Help me"  
เพลง "ให้ทาย" ศิลปิน carol
เพลง"นักร้องคนเก่า"   ศิลปินต๊ะ The voice

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แมวไทย

แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยพสู่สยามโดยการกวาดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยพไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก


แมวให้คุณ 17 ชนิด

วิเชียรมาศ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล

ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี้ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี

มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งนำค้างย้ยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล

โกนจา หรือ ดำปลอด มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

นิลรัตน์ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย

วิลาศ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย


เก้าแต้ม มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย

รัตนกำพล ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง
นิลจักร มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก


    มุลิลา ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา

กรอบแว่น หรือ อานม้า มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ

ปัดเสวตร หรือ ปัดตลอด ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ

กระจอก ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน

สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล

การเวก ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก


จตุบท ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น


แซมเสวตร มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้งรูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย
แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด
  1. ทุพลเพศ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ
  2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง
  3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้
  4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง
  5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว
  6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จังหวัดสุรินทร์

สถานที่สำคัญ-แหล่งท่องเที่ยว

อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้สร้างเมืองท่านแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองสุรินทร์ เดิมเคยเป็นกำแพงเมืองชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์ อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว อันเป็นการแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึกและเป็นเครื่องแสดงว่าสุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่ดึกดำบรรพ์
ศาลหลักเมืองสุรินทร์
ตั้งอยู่ที่ถนนหลักเมือง เป็นสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวสุรินทร เดิมเป็นศาลที่ยังไม่มีเสาหลักเมือง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2511 กรมศิลปากรได้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองใหม่ เสาหลักเมืองเป็นไม้ชัยพฤกษ์ที่ได้มาจากอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเสาไม้สูง 3 เมตร วัดโดยรอบเสาได้ 1 เมตร ทำพิธียกเสาหลักเมืองและสมโภช เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2517
วนอุทยานพนมสวาย

เป็นภูเขาเตี้ยๆ มียอดเขาอยู่ 3 ยอด ยอดที่ 1 มีชื่อว่ายอดเขาชาย (พนมเปราะ) สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมสวาย มีบันไดขึ้นถึงวัด มีสระน้ำกว้างใหญ่และร่มรื่นด้วยต้นไม้ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคลปางประทานพร ภปร. ยอดที่ 2 มีชื่อว่ายอดเขาหญิง (พนมสรัย) สูงระดับ 228 เมตร ทางวัดได้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ขนาดกลางประดิษฐานไว้ ยอดที่ 3 มีชื่อว่าเขาคอก (พนมกรอล) พุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ได้จัดสร้างศาลาอัฏฐะมุข เป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง จากยอดเขาชายมาประดิษฐานไว้ในศาลา บรรพบุรุษชาวสุรินทร์ถือว่าเป็นสถานที่แสวงบุญ โดยการเดินทางไปขึ้นยอดเขาในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันหยุดงานตามประเพณีของชาวจังหวัดสุรินทร์มาแต่โบราณกาล
ปราสาทเมืองที
ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดจอมสุทธาวาส ปราสาทเมืองทีเป็นปราสาทแบบเขมร ที่ได้รับการดัดแปลงในสมัยหลังเช่นเดียวกับปราสาทศรีขรภูมิ ปราสาทก่อด้วยอิฐฉาบปูน มี 5 หลัง สร้างรวมกันเป็นหมู่บนฐานเดียวกัน ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 หลังซึ่งมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง หลังกลางมีขนาดใหญ่สุด มีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ด้าน ตัวเรือนธาตุตันทึบไม่มีประตู เนื่องจากการดัดแปลง ส่วนหลังคาทำเป็นชั้นมี 3 ชั้นเลียนแบบตัวเรือนธาตุ ส่วนยอดบนหักหาย นับเป็นโบราณสถานเขมรอีกแบบหนึ่งที่นิยมสร้าง คือ มีปราสาทหลังกลางเทียบเท่าเขาพระสุเมรุ และมีปรางค์มุมทั้งสี่ตามความเชื่อในลัทธิศาสนาพราหมณ์
วัดบูรพาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนกรุงศรีใน ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หลวงพ่อพระชีว์ (หลวงพ่อประจี) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างพร้อมกับวัดบูรพาราม
ห้วยเสนง
เป็นอ่างเก็บน้ำของโครงการชลประทาน เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีสันเขื่อนสูง บนสันเขื่อนเป็นถนนลาดยาง ภายในที่ทำการชลประทานมีพระตำหนักที่ประทับ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ปราสาทบ้านไพล
ตั้งอยู่ที่ตำบลไพล ตัวปราสาทมีลักษณะเป็นปรางค์ 3 องค์ สร้างด้วยอิฐขัดตั้งเรียงเป็นแนวเดียวกัน มีคูน้ำล้อมรอบ ยกเว้นทางเข้าด้านทิศตะวันออก ศิวลึงค์และทับหลังบางส่วนหายไป สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16
ปราสาทหินบ้านพลวง
ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง เป็นปราสาทหินขนาดเล็กแต่ฝีมือการสลักหินประณีตงดงามมาก ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้เป็นปรางค์องค์เดียว ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียวส่วนด้านอื่นอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลง หินทราย และมีอิฐเป็นวัสดุร่วมก่อสร้างในส่วนบนของปราสาท โบราณสถานแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมจำหลักลายงดงามมาก แต่องค์ปรางค์เหลือเพียงครึ่งเดียว ส่วนยอดหักหายไป มีคูน้ำเป็นรูปตัวยูล้อมรอบ ถัดจากคูน้ำเป็นบาราย (สระน้ำขนาดใหญ่) ที่เห็นเป็นคันดิน เดิมเป็นที่ตั้งของแหล่งชุมชนมาก่อน
ปราสาทตาเมือน
ที่พักคนเดินทางแห่งหนึ่งใน 17 แห่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งเมืองพระนครโปรดให้สร้างขึ้นจากเมืองยโสธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรขอมโบราณ ไปยังเมืองพิมาย ปราสาทตาเมือนสร้างด้วยศิลาแลงเช่นเดียวกับโบราณสถานสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่พบในดินแดนประเทศไทย มีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวมีห้อยยาวเชื่อมต่อมาทางด้านหน้า ผนังด้านหนึ่งปิดทึบ แต่สลักเป็นหน้าต่างหลอก ส่วนอีกด้านมีหน้าต่างเรียงกันโดยตลอด
ปราสาทตาเมือนโต๊ด
เป็นอโรคยาศาล สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ยังคงสภาพเกือบจะสมบูรณ์ ประกอบด้วยปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นทางด้านหน้า ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีบรรณาลัยอยู่ทางด้านหน้าเยื้องไปทางขวาขององค์ปรางค์ ล้อมรอบด้วยกำแพงก่อศิลาแลงเช่นเดียวกัน มีซุ้มประตู (โคปุระ) อยู่ด้านหน้า คือ ด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว นอกกำแพงด้านหน้ามีสระน้ำเช่นเดียวกับ อโรคยาศาลแห่งอื่น ๆ ตรงห้องกลางของโคปุระได้พบศิลาจารึก 1 หลัก จารึกด้วยอักษรขอมภาษาสันสกฤต เป็นจารึกซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างไว้ประจำอโรคยาศาลแห่งนี้
ปราสาทตาเมือนธม

อยู่ถัดจากปราสาทตาเมือนโต๊ด เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน บนแนวเทือกเขาบรรทัด ประกอบด้วยปรางค์สามองค์ มีปรางค์ประธานขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ปรางค์อีกสององค์อยู่ถัดไปด้านหลังทางด้านขวาและซ้าย ปรางค์ทั้งสามองค์สร้างด้วยหินทรายหันหน้าไปทางทิศใต้ ที่ปรางค์ประธานมีลวดลายจำหลักที่งดงาม แม้ว่าจะถูกลักลอบทำลายและทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ทางด้านตะวันออกและตะวันตก มีวิหารสองหลังสร้างด้วยศิลาแลง อาคารทั้งหมดมีระเบียงคดซึ่งสร้างด้วยหินทรายล้อมรอบ มีโคปุระทั้งสี่ด้าน โคปุระด้านใต้มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบันไดทางขึ้นจากเชิงเขาด้านนั้น นอกระเบียงคดทางด้านทิศเหนือมีสระน้ำและที่ลานริมระเบียงคดทางมุขด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้มีศิลาจารึกภาษาขอม กล่าวถึงชื่อ พระกัลปกฤษณะ จึงสันนิษฐานได้ว่า โบราณสถานแห่งนี้คงจะสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งเก่าแก่กว่าโบราณสถานอีกสองแห่งในกลุ่มปราสาทตาเมือน
ปราสาทศรีขรภูมิ
ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง ประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออก ปรางค์ทั้งห้าองค์มีลักษณะเหมือนกัน คือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล ส่วนปรางค์บริวารพบทับหลัง 2 ชิ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย เป็นภาพกฤษณาวตาร ทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์ จากลวดลายที่เสาและทับหลังขององค์ปรางค์ มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน และแบบนครวัด
ปราสาทตะเปียงเตีย
ตั้งอยู่ตำบลโชกเหนือ ภายในบริเวณวัดปราสาทเทพนิมิตร ลักษณะปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยม มียอดปราสาท 5 ยอด เป็นรูปบัวตูม ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐ ลักษณะการก่อสร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบลาว สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ปราสาทภูมิโปน
ตั้งอยู่ที่บ้านภูมิโปน ประกอบด้วยโบราณสถาน 4 หลัง คือ ปราสาทก่ออิฐ 3 หลัง และก่อศิลาแลง 1 หลัง มีอายุการก่อสร้างอย่างน้อยสองสมัย ปราสาทก่ออิฐหลังใหญ่และหลังทางทิศเหนือสุด นับเป็นปราสาทแบบศิลปะเขมรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือราวพุทธศตวรรษที่ 13 ส่วนปราสาทอิฐหลังเล็กที่ตั้งตรงกลางและปราสาทที่มีฐานศิลาแลงทางด้านทิศใต้นั้นสร้างขึ้นในสมัยหลัง ปราสาทภูมิโปนคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูไศวนิกาย เช่นเดียวกับศาสนสถานแห่งอื่นในรุ่นเดียวกัน
ปราสาทยายเหงา
ตั้งอยู่ที่บ้านสังขะ เป็นศาสนสถานแบบขอมที่ประกอบด้วยปรางค์ 2 องค์ ตั้งอยู่เรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก องค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง มีการแกะสลักอิฐเป็นลวดลายเช่นที่กรอบหน้าบัน เป็นรูปมกร (สัตว์ผสมระหว่างสิงห์ ช้าง และปลา) คาบนาคห้าเศียร จากลักษณะแผนผังของอาคารน่าจะประกอบด้วยปราสาท 3 องค์ตั้งเรียงกัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 องค์ บริเวณปราสาทพบกลีบขนุนยอดปรางค์ เสาประดับกรอบประตู แกะสลักจากหินทราย
ปราสาทจอมพระ
ตั้งอยู่ตำบลจอมพระ มีลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า อโรคยศาล มีโครงสร้างที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก อาคารต่าง ๆ ก่อด้วยศิลาแลงและใช้หินทรายประกอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะแบบอโรคยศาลดังที่พบในที่อื่น คือ ปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขหน้า บรรณาลัยหรืออาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่ทางด้านหน้า มีกำแพงล้อมรอบพร้อมซุ้มประตูรูปกากบาทและสระน้ำนอกกำแพง โบราณวัตถุสำคัญที่พบได้แก่ เศียรพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร 1 เศียร และรูปพระวัชรสัตว์ 1 องค์เช่นเดียวกับที่พบที่อโรคยศาลในอำเภอ พิมายและที่พระปรางค์วัดกู่แก้ว จังหวัดขอนแก่น โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นรูปเคารพในพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน มีลักษณะตรงกับศิลปะขอมแบบบายน เป็นแบบศิลปะที่เจริญอยู่ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอม